การใช้โปรแกรม Sony vegat pro 13
องค์ความรู้โปรแกรมสำเร็จรูปและประยุกต์ใช้งานทางการตลาด
วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
สัปดาห์ที่ 8 ไหว้ครู / การใช้โปรแกรมวีดีโอ Sony Vegat Pro13
หลังจากที่เราได้ทำการติดตั้งโปรแกรม Sony Vegas Pro 13.0 เรียบร้อยไปแล้ว นั่นคือเรามีเครื่องมือที่จะใช้แล้วละ ทีนี้จะใช้อย่างไร เริ่มตรงไหน? ... คงเป็นคำถามที่จะตามมาเยอะแยะเลย Workflow ที่เขาพูดๆ กัน จะเป็นอย่างไร ใจเย็นๆ ติดตามบทความไปเรื่อยๆ พร้อมลงมือทำ จะไม่เป็นเรื่องยากเลย
Workflow การตัดต่อวีดีโอง่ายๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน
Workflow การตัดต่อวีดีโอง่ายๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน
- การตั้งค่า Project ให้เหมาะสมกับไฟล์วีดีโอของเรา
- การนำเข้า media ต่างๆ เช่น วีดีโอ ภาพนิ่ง เสียงเพลง, จัดเรียงลำดับงานของเราบน Timeline ตามที่เราต้องการ, การตกแต่ง ลูกเล่นโดยใช้ Effect หรือ Transition หรือ การใส่ตัวอักษร/ข้อความ, เสียงพากษ์หรือบรรยาย เพิ่มเติม
- การส่งออก (Render) หลังจากตกแต่งเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว เราก็จะทำการส่งออกไฟล์ ไปใช้งาน
หลักๆ ก็เหมือนมี Input - Process - Output ... งานหลักในที่นี้คือกระบวนการ Process นอกจากจะต้องทำความเข้าใจกับเครื่องมือที่ต้องใช้งาน และต้องใส่ความคิด+จินตนาการ ของเราลงไป
การตั้งค่า Project เราทำความเข้าใจเพียงครั้งเดียว ก็จะใช้หลักการได้ตลอดไป ... ใช้แนวคิดขบวนการที่ย้อนกลับ Output > Process > Input
การตั้งค่า Render เราต้องรู้จุดประสงค์ก่อนว่าจะเอาไฟล์ที่ตัดต่อเสร็จแล้วไปทำอะไร เพราะการนำไฟล์ไปใช้งานแต่ละประเภทจะไม่เหมือนกัน
การตั้งค่า Project Properties
เป็นการเริ่มต้นใหม่ด้วยคำสั่ง New ของทุกๆ โปรแกรม อย่างเช่นโปรแกรม MS-word ต้องกำหนดกั้นหน้า-กั้นหลัง, ระยะขอบ ... เหล่านี้เป็นต้น ในโปรแกรม Sony Vegas Pro ก็เช่นเดียวกัน
การตั้งค่า Project เราทำความเข้าใจเพียงครั้งเดียว ก็จะใช้หลักการได้ตลอดไป ... ใช้แนวคิดขบวนการที่ย้อนกลับ Output > Process > Input
การตั้งค่า Render เราต้องรู้จุดประสงค์ก่อนว่าจะเอาไฟล์ที่ตัดต่อเสร็จแล้วไปทำอะไร เพราะการนำไฟล์ไปใช้งานแต่ละประเภทจะไม่เหมือนกัน
การตั้งค่า Project Properties
เป็นการเริ่มต้นใหม่ด้วยคำสั่ง New ของทุกๆ โปรแกรม อย่างเช่นโปรแกรม MS-word ต้องกำหนดกั้นหน้า-กั้นหลัง, ระยะขอบ ... เหล่านี้เป็นต้น ในโปรแกรม Sony Vegas Pro ก็เช่นเดียวกัน
Project Property ง่ายๆ ให้ตั้งต่า frame rate ตาม video ที่ถ่ายมา ถ้าไม่รู้ให้ใช้เครื่องมือ "Match Media Video setting ... และตั้งค่า resolution ตามขนาดที่จะนำไปใช้"
ข้อความบนนี้เป็นคำกล่าวของผู้มีประสบการณ์ ซึ่งส่วนมาแล้วพวกเขาจะ"ถ่ายวีดีโอเอง / ตัดต่อเอง" ซึ่งเขารู้ดีถึงความสามารถของอุปกรณ์ของเขาที่บันทึกภาพหรือวีดีโอมา ... ปัจจุบันกล้องวีดีโอส่วนใหญ่จะบันทึกมาแบบ Full-HD ขนาด 1920x1080 29.970 fps เป็นอย่างต่ำ (รายละเอียดในส่วนนี้ค่อยมาพูดกันอีกที)
สังเกตว่าเราเข้าถึงเมนูการตั้งค่า Project Property ได้ถึง 3 จุด
หรือจะเข้าทาง Short Cut : Alt+Enter (จุดที่ 4)
หรือจะเข้าทาง Short Cut : Alt+Enter (จุดที่ 4)
หน้าต่างการกำหนดค่าฯ
การตั้งค่า Project property> Tab : Video <Template : Custom (1920x1080, 29.970 fps)Pixel format : 32-bit floating point (video levels)Full-resolution rendering quality : BestMotion blur type : GaussianDeinterlace method : Blend fieldscheck [/] : Adjust source media to better match project or render setting (ตัดขอบดำ ซ้าย-ขวา)> Tab : Audio <: Sample rate (hz) :: 48,000: Bit depth :: 16: Resample and... :: Bestcheck [/] : Start all new project with this setting
ค่าต่างๆ ที่เห็นในกรอบสีเหลือง เป็นการอ่านค่าจากวีดีโอที่บันทึกมาด้วยการกดปุ่มทูลบาร์ Match Media Video Setting ... สำหรับค่าอื่นๆ ให้ตั้งตามในรูปไปก่อน จนกว่าท่านจะพบวิธีการที่ดีกว่านี้นะครับ
ที่ตัวเลือกล่างสุด "check [/] : Start all new project with this setting" เป็นการกำหนดให้ใช้ค่านี้ในการเปิดใช้งานครั้งต่อๆ ไป
ที่ตัวเลือกล่างสุด "check [/] : Start all new project with this setting" เป็นการกำหนดให้ใช้ค่านี้ในการเปิดใช้งานครั้งต่อๆ ไป
*** ตอนนี้สมมุติว่าเราได้สร้างงานขึ้นมาแล้ว พร้อมจะนำไปใช้งาน"อัพขึ้น Youtube" ***
######
######
การตั้งค่า Render
Render เป็นการส่งออกผลลัพท์ในงานของเราไปใช้งาน ซึ่งเราต้องรู้จุดประสงค์ก่อนว่าจะเอาไฟล์ที่ตัดต่อเสร็จแล้วไปทำอะไร เพราะการนำไฟล์ไปใช้งานแต่ละประเภทจะไม่เหมือนกัน (สังเกตที่นามสกุล เช่น .avi, .wmv, mp4 ...)
หลักการ render
- ต้อง Render ให้ตรงกับ Format วีดีโอไฟล์ที่ตัดต่อ เช่น 720*576(SD), 1280*720(HD), 1920*1080(Full HD)
- ต้อง Render ให้นามสกุลตรงกับการนำไปใช้ เช่น avi, mp4
... ที่สำคัญให้ตรงค่า Frame Rate (fps) และ Filels Order : Progressive / Upper(pal) / Lower(ntsc) เช่น ถ่ายมา 1920x1090-29.970p แล้วต้องการตัดต่อไปทำ Dvd ระบบ Pal ก็ตั้งค่าเป็น 720x576-25p
- Format Video ในโปรเจคเรา = 1920x1080, 29.970 fps / None (progressive scan)
ขั้นตอนการ Render
การเข้าถึงคำสั่ง Render ได้ 2 วิธี
- จากเมนู File > Render as ...
- จากทูลบาร์ Render as ...
การเรียกคำสั่ง Render
การกำหนดค่า |
- เลือกโฟลเดอร์และตั้งชื่อไฟล์ในการจัดเก็บ
- เลือก Template (Sony AVC/MVC หรือ MainConcept AVC/AAC)
- เลือก Customize Template เพื่อกำหนดค่าในรายละเอียด
การตั้งค่าต่างๆ
>> Customize template (Sony AVC/MVC) <<
> Tab : Video <
Video Format : AVC
Frame size : (1920x1080) --> ตามที่ถ่ายมา
Profile : High
Entropy coding : CABAC
Frame Rate : 29.970 (fps) --> ตามที่ถ่ายมา
Filels Order : progressive --> ตามที่ถ่ายมา
Bit Rate : 15 หรือ 16 Mbps
Encode Mode :: Render using CPU only
check [/] Enable progressive download
> Tab : Audio <
: Sample rate (hz) :: 44,000
: Bit rate (bps) :: 128,000
> Tab : Sysstem <
: Format :: MP4 --> นำไปโพสต์ขึ้น Youtube
> Tab : Project <
: Video rendering quality :: Best
ตั้งชื่อเทมเพลท : เช่น Internet HD xxxp - MyRender1920x1080 กด save ไว้ใช้คราวต่อไป
> Tab : Video <
Video Format : AVC
Frame size : (1920x1080) --> ตามที่ถ่ายมา
Profile : High
Entropy coding : CABAC
Frame Rate : 29.970 (fps) --> ตามที่ถ่ายมา
Filels Order : progressive --> ตามที่ถ่ายมา
Bit Rate : 15 หรือ 16 Mbps
Encode Mode :: Render using CPU only
check [/] Enable progressive download
> Tab : Audio <
: Sample rate (hz) :: 44,000
: Bit rate (bps) :: 128,000
> Tab : Sysstem <
: Format :: MP4 --> นำไปโพสต์ขึ้น Youtube
> Tab : Project <
: Video rendering quality :: Best
ตั้งชื่อเทมเพลท : เช่น Internet HD xxxp - MyRender1920x1080 กด save ไว้ใช้คราวต่อไป
แหล่งที่มา. http://www.tigersmile.net/2014/10/sony-vegas-pro-project-render.html
วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
สัปดาห์ที่ 6 การทำใบเสนอราคาในโปรแกรม Excel
เทคนิคการทำใบเสนอราคาให้โดนใจลูกค้า
การทำใบเสนอราคาเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ลูกค้าตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อ ใบเสนอราคามีผลต่อการตัดสินใจไม่น้อยเลยทีเดียว คุณลองคิดดูว่าถ้าสินค้าเหมือนกัน บริการเหมือนกัน ราคาเท่ากัน ระหว่างบริษัทที่ออกใบเสนอราคาที่ใช้ซอฟท์แวร์กับบริษัทที่ออกใบเสนอราคาด้วยการเขียนด้วยมือ เขาจะเลือกตัดสินใจซื้อจากบริษัทไหน ?
ผมกำลังจะบอกคุณว่านับจากวันที่คุณได้ตัดสินใจมาทำธุรกิจ คุณต้องใส่ใจในรายละเอียดทุกเม็ดทุกขั้นตอน คุณต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบ ต้องใส่ใจและพิถีพิถันในการทำงานทุกขั้นตอน คุณควรทำเสนอราคาโดยโปรแกรมบัญชีหรือโปรแกรม Sale Automation เพราะสามารถอ้างอิงใบเสนอราคาไปทำ Sale Order หรือจะนำไปออก Invoice หรือออกใบกำกับภาษีได้เลย ไม่ต้องเสียเวลามาบันทึกข้อมูลใหม่อีกรอบ ผมไม่แนะนำให้ออกใบเสนอราคาโดยใช้โปรแกรม Word หรือ Excel เพราะคุณจะเสียเวลาอีกมากในการเอาข้อมูลไปทำบัญชีต่อไป
ใบเสนอราคาที่ดีควรทำดังนี้
● ใบเสนอราคาควรมีโลโก้ที่สวยงาม ชัดเจน อย่าใส่โลโก้ที่มีรูปภาพเบลอๆ ไม่คมชัด ดูแล้วไม่มี Image
● ใบเสนอราคาควรมีชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร Email เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อของผู้ซื้อ
● ใบเสนอราคาต้องให้โปรแกรม Running เลขที่เอกสารให้ด้วย ถ้าคุณไปใช้ Word หรือ Excel จะไม่สามารถ
Running เลขที่เอกสารให้คุณได้ ทำให้คุณเสียเวลามาใส่เลขที่เอกสารเอง ต้องกลับไปดูว่าเราเคยออก
ใบเสนอราคาถึงเลขที่เท่าไหร่แล้ว
Running เลขที่เอกสารให้คุณได้ ทำให้คุณเสียเวลามาใส่เลขที่เอกสารเอง ต้องกลับไปดูว่าเราเคยออก
ใบเสนอราคาถึงเลขที่เท่าไหร่แล้ว
● ใบเสนอราคาควรใส่ชื่อผู้ติดต่อไว้ด้วยเพราะในครั้งต่อไปคุณจะได้ทราบว่าคุณต้องติดต่อกับคนชื่ออะไร โปรแกรม
ที่ดีต้องสามารถทราบด้วยว่า เขาทำงานตำแหน่งอะไร มีอำนาจในการตัดสินใจได้มากน้อยเพียงใด
ที่ดีต้องสามารถทราบด้วยว่า เขาทำงานตำแหน่งอะไร มีอำนาจในการตัดสินใจได้มากน้อยเพียงใด
● ใบเสนอราคาควรใส่ชื่อ ที่อยู่ ของลูกค้าให้ถูกต้องเพราะเมื่อมีการตกลงซื้อขายกันแล้ว เอกสารใบเสนอราคาใบนี้
จะต้อง Reference อ้างถึงเพื่อนำไปออกใบกำกับภาษี จะเป็นการเสียเวลาอย่างมากถ้าคุณออกใบกำกับภาษี
ผิด เวลาส่งของลูกค้าบางรายอาจจะไม่รับสินค้าจากคุณเลยก็ได้ เขาจะบอกให้คุณไปแก้ไขใบกำกับภาษีให้
ถูกต้องเสียก่อน และตอนที่คุณจะไปเก็บเงินจากลูกค้า ฝ่ายบัญชีจะปฏิเสธการจ่ายเงินให้คุณ คุณจำเป็นต้องไป
แก้ไขใบกำกับภาษีให้ถูกต้อง คุณทราบหรือไม่ว่าใบกำกับภาษี 1 ชุดต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เท่าที่ผมกะ
โดยประมาณก็ชุดละ 5 บาท ถ้าคุณทำไม่ดี ทำผิดพลาด ค่าใช้จ่ายต่างๆ ค่าเสียโอกาสจะตามมาอีกมาก
จะต้อง Reference อ้างถึงเพื่อนำไปออกใบกำกับภาษี จะเป็นการเสียเวลาอย่างมากถ้าคุณออกใบกำกับภาษี
ผิด เวลาส่งของลูกค้าบางรายอาจจะไม่รับสินค้าจากคุณเลยก็ได้ เขาจะบอกให้คุณไปแก้ไขใบกำกับภาษีให้
ถูกต้องเสียก่อน และตอนที่คุณจะไปเก็บเงินจากลูกค้า ฝ่ายบัญชีจะปฏิเสธการจ่ายเงินให้คุณ คุณจำเป็นต้องไป
แก้ไขใบกำกับภาษีให้ถูกต้อง คุณทราบหรือไม่ว่าใบกำกับภาษี 1 ชุดต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เท่าที่ผมกะ
โดยประมาณก็ชุดละ 5 บาท ถ้าคุณทำไม่ดี ทำผิดพลาด ค่าใช้จ่ายต่างๆ ค่าเสียโอกาสจะตามมาอีกมาก
● คุณควรระบุวันที่กำหนดส่งของให้ลูกค้าด้วยว่า คุณจะส่งของได้ในวันไหน หรือภายในกี่วันที่คุณได้รับใบสั่งซื้อ
● คุณควรระบุกำหนดการยืนราคาว่าราคาที่คุณเสนอราคามีอายุกี่วัน Expire Date วันไหน เพราะสินค้าบางตัวมีการ
ปรับราคาขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา จะได้ไม่มีปัญหากับลูกค้าภายหลัง ขอให้ทำทุกอย่างอยู่บนเอกสารให้ครบถ้วน
ถูกต้องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ปรับราคาขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา จะได้ไม่มีปัญหากับลูกค้าภายหลัง ขอให้ทำทุกอย่างอยู่บนเอกสารให้ครบถ้วน
ถูกต้องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
● จำนวนวันที่ให้เครดิตกับลูกค้าก็สำคัญ คุณจะให้เครดิตกับลูกค้ากี่วันก็ใส่ลงไป
● รายการสินค้าที่คุณเสนอราคาต้องละเอียด ถูกต้อง ชัดเจน ทั้งจำนวนสินค้าและราคาต่อหน่วย % ส่วนลด จำนวน
เงินส่วนลด มี Vat เท่าไหร่ มีส่วนลดท้ายบิลหรือไม่ มีเงื่อนไขอะไรเป็นพิเศษก็ใส่ลงไปให้ครบถ้วน
เงินส่วนลด มี Vat เท่าไหร่ มีส่วนลดท้ายบิลหรือไม่ มีเงื่อนไขอะไรเป็นพิเศษก็ใส่ลงไปให้ครบถ้วน
● ใบเสนอราคาที่ดีต้องมีช่อง ผู้อนุมัติซื้อ เพื่อให้ลูกค้าได้เซ็นต์ชื่อส่งกลับมาให้เราโดยทันที เป็นการปิดการขายอีก
ทาง (ลองนึกดูนะครับตอนที่พนักงานขายประกันมานำเสนอขายประกันให้เรา พอเขาอธิบายแบบประกันเสร็จ
เขาจะยื่นแบบประกันพร้อมส่งปากกาและช่องลงลายมือชื่อผู้ทำประกันให้เราเซ็นต์ทันทีโดยที่เรายังไม่ได้ทันตั้ง
ตัว)
ทาง (ลองนึกดูนะครับตอนที่พนักงานขายประกันมานำเสนอขายประกันให้เรา พอเขาอธิบายแบบประกันเสร็จ
เขาจะยื่นแบบประกันพร้อมส่งปากกาและช่องลงลายมือชื่อผู้ทำประกันให้เราเซ็นต์ทันทีโดยที่เรายังไม่ได้ทันตั้ง
ตัว)
● ใบเสนอราคาควรมีช่องลายมือชื่อพนักงานขายและช่องผู้จัดการฝ่ายขายไว้ด้วย ช่องพนักงานขายจะมีประโยชน์
ต่อลูกค้าเมื่อลูกค้าจำชื่อคุณไม่ได้ จะได้มาอ่านตรงนี้ว่าเขาได้ติดต่อกับพนักงานขายคนไหน ส่วนช่องผู้จัดการ
ฝ่ายขายคุณควรจะต้องมีเพราะมันเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของคุณด้วย หลายคนถามผมว่าบริษัทไม่มีผู้จัดการฝ่ายขาย
จะต้องทำอย่างไร ผมก็บอกไปว่าไม่เห็นจะยากตรงไหน คุณเอาชื่อ MD หรือ GM หรือชื่อเจ้าของมาใส่ก็ได้
เพราะคนเราสามารถทำงานได้ตั้งหลายตำแหน่ง เป็นได้ตั้งแต่ผู้จัดการยันภารโรง ไม่ได้ผิดอะไรตรงไหนใช่ไหม
ครับ
ต่อลูกค้าเมื่อลูกค้าจำชื่อคุณไม่ได้ จะได้มาอ่านตรงนี้ว่าเขาได้ติดต่อกับพนักงานขายคนไหน ส่วนช่องผู้จัดการ
ฝ่ายขายคุณควรจะต้องมีเพราะมันเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของคุณด้วย หลายคนถามผมว่าบริษัทไม่มีผู้จัดการฝ่ายขาย
จะต้องทำอย่างไร ผมก็บอกไปว่าไม่เห็นจะยากตรงไหน คุณเอาชื่อ MD หรือ GM หรือชื่อเจ้าของมาใส่ก็ได้
เพราะคนเราสามารถทำงานได้ตั้งหลายตำแหน่ง เป็นได้ตั้งแต่ผู้จัดการยันภารโรง ไม่ได้ผิดอะไรตรงไหนใช่ไหม
ครับ
แหล่งที่มา. http://helpfriends.softbankthai.com/Article/Detail/23409
ตัวย่างการทำใบเสนอราคาในโปรแกรม Excel
สัปดาห์ที่ 4 การใช้งานโปรแกรม Power Point
การใช้งาน Microsoft Powerpoint 2010
โปรแกรม Microsoft PowerPoint 2010 เป็น โปรแกรมที่ใช้ในการนำเสนอผลงานที่หลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอผลงานทางธุรกิจ การนำเสนอผลงาานทางการศึกษา ตลอดจนการนำเสนออัลบั้มภาพส่วนตัวต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งโปรแกรมMicrosoft PowerPoint 2010 นั้น จะมีจุดเด่นตรงที่สามารถใส่ภาพ เสียง ตลอดจนภาพเคลื่อนไหว ลงไปใสไลโชได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว ทำให้ได้รับความนิยมมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงเวอร์ชั่นปัจจุบัน MicrosoftPowerPoint2010
การสร้างงานนำเสนอ ใน PowerPoint 2010
การสร้างงานนำเสนอ ใน PowerPoint 2010
เมื่อเปิดโปรแกรม Microsoft PowerPoint 2010 ขึ้นมาใช้งาน สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือ การสร้างไฟล์งานนำเสนอใหม่ขึ้นมาใช้งาน ซึ่งทำได้หลายวิธี ดังขั้นตอนต่อไปนี้
การสร้างงานนำเสนอว่าง
1. คลิกปุ่ม แฟ้ม (File) > สร้าง (New)
2. คลิกเลือก งานนำเสนอเปล่า (Blank Presentation)
3. คลิกเลือก สร้าง (Create)
การสร้างพรีเซนเทชันจาก Template ของโปรแกรม
1. คลิกปุ่ม แฟ้ม (File) > สร้าง (New)
2. คลิกเลือก ตัวอย่างแม่แบบ (Sample Template)
3. เลือกรูปแบบ Template ที่ต้องการ
4. คลิกเลือก สร้าง (Create)
5. ไฟล์งานนำเสนอใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นมาตามรูปแบบที่เราได้เลือก
การสร้างพรีเซนเทชันจาก Theme ของโปรแกรม
1. คลิกปุ่ม แฟ้ม (File) > สร้าง (New)
2. คลิกเลือก ชุดรูปแบบ (Theme)
3. เลือกรูปแบบ Theme ที่เราต้องการ
4. คลิกเลือก สร้าง (Create)
5. ไฟล์งานนำเสนอใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นมาตามรูปแบบ Theme ที่เราเลือก
การแทรกรูปภาพลงไปในตัวอักษร PowerPoint 2010
การแทรกรูปภาพลงไปในตัวอักษร PowerPoint 2010
การแทรกภาพลงไปในตัวอักษร นอกจากจะทำให้ดูโดดเด่นแล้ว ยังทำให้ชิ้นงานนำเสนอนั้นดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้
วิธีการแทรกรูปภาพลงไปในตัวอักษร
1. คลิกเลือกตัวอักษรที่ต้องการ
2. คลิกที่แท็บ รูปแบบ (Format)
3. คลิกเลือก สีเติมข้อความ (Text Fill) > รูปแบบ (Picture)
4. เลือกสถานที่จัดเก็บรูปภาพ
5. เลือกรูปภาพที่ต้องการ6. คลิกปุ่ม แทรก (Insert)
7. รูปภาพก็จะไปแทรกอยู่ในตัวอักษรที่เลือก
แหล่งที่มา. https://krupeerapat.blogspot.com/2015/06/microsoft-powerpoint-2010.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)